ไวรัสตับอักเสบบี โรคร้ายทำลายตับ

ปัจจุบันพบว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยด้วย ไวรัสตับอักเสบบีมากถึง 350 ล้านคน ส่วนใหญ่ผู้ป่วยกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ อาศัยอยู่ในทวีปเอเชีย หลายคนมักสงสัยว่าไวรัสตับอักเสบบี รักษาหายไหม ซึ่งจากสถิติของประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีมากกว่า 3 ล้านคน อีกทั้งยังติดอันดับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจำนวนมาก จึงถือได้ว่าเป็นโรคติดต่อที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม

ไวรัสตับอักเสบบี
เนื้อหาที่น่าสนใจ ซ่อน

ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบบี คือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B: HBV) ซึ่งในทางการแพทย์ได้แบ่งชนิดของเชื้อไวรัสตับอักเสบไว้หลายชนิดไม่ว่าจะเป็นชนิด เอ บี ซี ดี อี โดยไวรัสชนิดบีนี้ทำให้ผู้ป่วยมีอาการอักเสบของเซลล์ตับ มีโอกาสที่จะเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง จนส่งผลให้เกิดพังผืด ตับแข็ง และลุกลามกลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด ซึ่งผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดนี้จำนวน 95 เปอร์เซ็นต์ สามารถหายได้เอง และผู้ป่วยอีก 5 เปอร์เซ็นต์ อาจมีอาการลุกลามจนกลายเป็นการติดเชื้อชนิดเรื้อรังได้ในที่สุด

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

เชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุผิวต่างๆ ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งต่างๆ จากร่างกายผู้ที่มีเชื้อไวรัส เช่น

  • การติดเชื้อจากมารดาในระหว่างการคลอด
  • การติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่มีเชื้อ
  • การติดเชื้อทางเลือด เช่น สัมผัสกับเลือดผู้ที่ติดเชื้อเข้าสู่บริเวณเยื่อบุต่างๆ การฝังเข็ม การสัก การเจาะหู การใช้เข็มฉีดยาและกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • การใช้แปรงสีฟัน ตัดเล็บ ก็มีโอกาสติดเช่นกัน

ไวรัสตับอักเสบบีมีกี่ประเภท

ไวรัสตับอักเสบบีระยะเฉียบพลัน

 ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเข้าสู่ร่างกายในช่วง 1-3 เดือน ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการที่รุนแรง แต่จะมีแค่อาการคล้ายอาการไข้ อาการหวัด รวมถึงปวดเมื่อยครั่นเนื้อครั่นตัว ตาเหลือง ตัวซีดเหลือง และมีค่าการทำงานตับสูงผิดปกติ หลังจากนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้ด้วยตัวเองภายในระยะเวลา 6 เดือน แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำอาการอาจลุกลามสู่ไวรัสตับอักเสบระยะเรื้อรังได้

ไวรัสตับอักเสบบีระยะเรื้อรัง

ผลมาจากผู้ป่วยได้รับเชื้อในร่างกายนานกว่า 6 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในระยะนี้มักติดเชื้อจากมารดาระหว่างการคลอด หรือได้รับเชื้อตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งหากมีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ จะส่งผลให้เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จะเกิดภาวะตับอักเสบทำให้เป็นระยะเรื้อรัง โดยระยะเรื้อรังนี้อาจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น มะเร็งตับ ตับแข็ง เป็นต้น    

ไวรัสตับอักเสบบี เรื้อรัง

อาการของไวรัสตับอักเสบบี

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการที่ชัดเจน และบางรายอาจแสดงอาการที่ไม่รุนแรง สามารถสังเกตอาการโดยทั่วไปได้จากมีอาการอ่อนเพลีย มีไข้ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อาเจียน มีอาการคล้ายหวัด น้ำหนักตัวลด ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม และจุกแน่นชายโครงขวา โดยที่อาการดังกล่าวจะเริ่มดีขึ้นในเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ เนื่องจากร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสได้ดีขึ้น และจะมีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบภายในร่างกายได้ จึงส่งผลให้โรคเข้าสู่ระยะของการติดเชื้อเรื้อรัง

การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบบี

ขั้นตอนและวิธีการวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบบี แพทย์จะเลือกใช้วิธีการตรวจดังต่อไปนี้

  • การตรวจเลือดเพื่อตรวจวัดค่าการทำงานของตับ หรือ Liver function test 
  • การตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี HbsAg
  • การตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี Anti-HBS
  • การตรวจหาพังผืดในตับ หรือ Fibro scan
  • การตรวจชิ้นเนื้อตับ Liver Biopsy

การรักษาไวรัสตับอักเสบบี

การรักษาผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีนั้น แพทย์จะทำการแบ่งระยะของโรคในผู้ป่วยแต่ละรายและทำการรักษาให้เหมาะสมกับอาการอย่างถูกต้อง เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยแต่ละรายจะแสดงความรุนแรงที่แตกต่างกัน ดังนั้นแพทย์จะพิจารณารักษาตามความเหมาะสมของผู้ป่วย เช่น รักษาด้วยยาต้านเชื้อไวรัส การใช้ยาฉีด Pegylated interferon หรือการผ่าตัดเปลี่ยนตับ

เพื่อลดปริมาณเชื้อไวรัสและยับยั้งไม่ให้ไวรัสทำลายเซลล์ตับให้ได้มากที่สุด จนตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในร่างกายอีก

โดยแพทย์จะเลือกทำการรักษาผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง หรือผู้ป่วยที่มีผลตรวจวินิจฉัย  HBsAg เป็นผลบวกเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ผู้ป่วยที่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าไวรัสกำลังมีการแบ่งตัวอย่างมาก หรือผู้ป่วยที่ค่าเอนไซม์ตับสูงเกินกว่าค่าปกติมากถึง 1.5-2 เท่า และผู้ป่วยที่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายในเนื้อตับอยู่ในระยะที่สมควรให้การรักษา

วิธีป้องกัน ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบีตรวจที่ไหน ?

จังหวัดสถานที่ตรวจราคา
กรุงเทพมหานครคลีนิคนิรนามคนไทยตรวจฟรี
กรุงเทพมหานครเซฟ คลินิค200-500 บาท
เชียงใหม่โรพยาบาลนครพิง์ฟรี
ลำปางโรพยาบาลลำปางฟรี
น่านโรพยาบาลน่านฟรี
พิษณุโลกโรพยาบาลพุทธชินราชฟรี
นนทบุรีโรพยาบาลพระนั่งเกล้าฟรี
ปทุมธานีโรพยาบาลปทุมธานีฟรี
สมุทรปราการโรพยาบาลสมุทรปราการฟรี
ขอนแก่นโรงพยาบาลขอนแก่นฟรี
บุรีรัมย์โรงพยาบาลบุรีรัมย์ฟรี
อุบลราชธานีโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ฟรี
กระบี่โรงพยาบาลกระบี่ฟรี
ภูเก็ตโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตฟรี
ต่างจังหวัดโรพยาบาลของรัฐฟรี

คำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบบี

ถ้าแม่เป็นโรคตับอักเสบจากไวรัสบี ลูกจะเป็นไหม ?

แม่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี ทารกจะมีโอกาสติดโรคจากมารดาได้ประมาณร้อยละ 40-90 เพศชายที่ติดเชื้อ เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มีโอกาสเป็นโรคตับสูงกว่า เพศหญิงที่ติดเชื้อ แต่ในทารกเพศหญิงที่ติดเชื้อก็จะเติบโตเป็นมารดาที่เป็นพาหะต่อไป การติดเชื้อของทารกส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างการคลอด

แม่เป็นพาหะ ไวรัสตับอักเสบบี

จะทราบได้อย่างไร? ว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

มีวิธีเดียวคือการตรวจเลือด  สะดวก และรวดเร็ว

พาหะของโรคไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร ?

คือผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อยู่ในร่างกายแต่ไม่มีอาการตับอักเสบ บุคคลที่เป็นพาหะสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้

ไวรัสตับอักเสบบีมีกี่ระยะ ?

มี 2 ระยะ คือ ระเฉียบพลับ และ ระยะเรื้อรัง

วิธีการป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการทำลายตับ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้อื่น
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกัน
  • ฉีดวัคซีนป้องกันในเด็กแรกเกิด 
  • ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเป็นโรค ไวรัสตับอักเสบบี

ดูแลตัวเองอย่างไร ? เมื่อเป็นไวรัสตับอักเสบบี

  • งดบริจาคโลหิต
  • ออกกำลังกายแบบเบาๆ ไม่ควรหักโหม
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • พักผ่อนให้พอเพียง ไม่เครียด ทำจิตใจให้แจ่มใส
  • ก่อนรับประทานยาทุกชนิด ควรแจ้งและปรึกษาแพทย์
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นการกระตุ้นการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส
  • ไปพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อตรวจเลือด เช็คประสิทธิภาพการทำงานของตับเป็นระยะๆ
  • แนะนำให้คนในครอบครัว หรือผู้ที่อยู่บ้านเดียวกัน ให้ตรวจเลือดและฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

บทความเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบบี

สรุป

โรคตับอักเสบจากไวรัสบี รักษายากแต่ปัจจุบันสามารถป้องกันได้ ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสบีซึ่งได้ผล และสามารถฉีดได้ง่ายจาก โรงพยาบาลและคลินิคทั่วไป

อ้างอิงข้อมูลจาก

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล  การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี www.bumrungrad.com