รู้เท่าทันโรคไวรัสตับอักเสบซี
ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังมากถึง 71 ล้านคน จากสถิติพบผู้ป่วยเรื้อรังในประเทศไทยประมาณ 2 ล้านคน และอีกประมาณ 7 แสนคนที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี โดยเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับแข็งและมะเร็งตับ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้ 100% ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับเชื้อมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ง่าย ทว่าผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนได้รับเชื้อ เนื่องจากโรคไม่แสดงอาการที่ชัดเจนในช่วงเริ่มต้น และจะทราบว่าตนมีอาการผิดปกติเมื่อตับเริ่มเสื่อมสภาพลง

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเข้าสู่ร่างกาย เชื้อไวรัสจะอาศัยอยู่ในบริเวณตับและทำการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในระยะแรกผู้ป่วยจะเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน แต่จะไม่แสดงอาการของโรคที่ชัดเจน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีอาจลุกลามเข้าสู่ระยะตับแข็งได้ในที่สุด
ชนิดของไวรัสตับอักเสบซี
ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus หรือ HCV) มีทั้งหมด 6 สายพันธ์ หลักเรียกว่า genotype และสามารถแบ่งย่อยได้ดังนี้คือ 1a, 1b, 1c; 2a, 2b, 2c; 3a, 3b; 4a, 5a, และ 6a โดยที่เชื้อไวรัสตับอักเสบซีแต่ละ genotype จะกระจายตัวต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งชนิดที่พบมากในประเทศไทยคือ 1 และ 3 ส่งผลให้มีแนวทางในการรักษาผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีแต่ละชนิดต่างกัน เพื่อให้การรักษาได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบซี
ไวรัสตับอักเสบซีระยะเฉียบพลัน
ปกติผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในระยะนี้มักจะไม่แสดงอาการที่ชัดเจน อาจมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะแสดงอาการเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งในผู้ป่วยบางราย สามารถหายได้เอง และในผู้ป่วยบางรายที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอจะส่งผลให้ภายในร่างกายยังมีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีหลงเหลืออยู่เป็นเวลาประมาณ 10-30 ปี และเชื้อไวรัสจะพัฒนาเข้าสู่ระยะเรื้อรังได้ โดยผู้ป่วยบางรายในระยะเฉียบพลันอาจมีอาการดังต่อไปนี้
-
ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่สบายตัว
-
มีไข้สูง
-
มีอาการปวดบริเวณช่องท้อง
-
มีอาการเบื่ออาหาร
-
บางรายอาจมีอาการคล้ายกับโรคดีซ่าน เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง
-
ปัสสาวะสีเข้ม
-
น้ำหนักตัวลด
-
ปวดเมื่อยตามข้อและกล้ามเนื้อ
ไวรัสตับอักเสบซีระยะเรื้อรัง
ระยะนี้จะแสดงอาการที่ชัดเจนก็ต่อเมื่อตับถูกทำลายอย่างรุนแรง ส่วนใหญ่จะมีอาการหลังจากที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเป็นระยะเวลาประมาณ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคตับที่รุนแรง โดยผู้ป่วยในระยะเรื้อรังจะมีอาการดังต่อไปนี้
-
รู้สึกอ่อนเพลีย
-
มีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว
-
มีอาการปวดข้อต่อและปวดกล้ามเนื้อ
-
ขามีอาการบวมผิดปกติ
-
ปวดช่องท้อง
-
น้ำหนักลด
-
ปัสสาวะมีสีเข้ม
-
มีผื่นคันตามผิวหนัง
-
มีรอยช้ำบริเวณร่างกาย
-
มีภาวะเลือดออกง่าย
-
มีอารมณ์ที่แปรปรวน
การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
-
การสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งจากร่างกายผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
-
การใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกัน (ผู้ที่ติดยาเสพติด)
-
ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์
-
ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
-
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
-
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง
-
การรับเลือดจากอุปกรณ์การแพทย์ที่อาจติดเชื้อ
-
ผู้ป่วยที่อยู่ในขั้นตอนการฟอกเลือดด้วยไตเทียม
-
ผู้ที่มีผลตรวจเกี่ยวกับตับอักเสบ
การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี
เมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติคล้ายติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจ
เลือดเพื่อวิเคราะห์การทำงานของตับว่ามีการอักเสบหรือไม่ การตรวจ anti-HCV เพื่อนับปริมาณไวรัสในเลือด การตรวจหาสายพันธ์ุของไวรัสตับอักเสบซี การตรวจแบบ Polymerase Chain Reaction หรือ PCR การตรวจการทำงานของตับ AST และ ALT หรือในผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้วิธีการเจาะชิ้นเนื้อตับ
การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี
โรคไวรัสตับอักเสบซีสามารถรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัสตับอักเสบซีที่ตรวจพบ โดยที่แพทย์จะพิจารณาการใช้ยาและการรักษาตามภาวะของโรคในผู้ป่วยแต่ละราย มีทั้งการฉีดยาร่วมกับการรับประทานยาต้านไวรัส หากผลตรวจพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสในระยะเฉียบพลัน แพทย์จะเฝ้าดูอาการและประเมินว่าไม่มีความจำเป็นต้องรับการรักษา และในกรณีที่ตรวจพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อในระยะเรื้อรัง แพทย์จะทำการรักษาโดยคำนึงถึงความรุนแรงของอาการรวมถึงภาวะร่างกายของผู้ป่วยรายนั้นๆ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไวรัสตับอักเสบซี
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังต่อเนื่องนานหลายปี อาจส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น
-
ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมาตั้งแต่ 20-30 ปี ทำให้มีความเสี่ยงเกิดอาการตับแข็ง (Cirrhosis) เป็นอาการที่ตับถูกทำลายจนทำงานผิดปกติ
-
กรณีผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งตับ (Liver Cancer)
-
หากผู้ป่วยมีภาวะตับแข็งอาจลุกลามจนมีถึงขั้นรุนแรงทำให้ตับวาย (Liver Failure)
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซี
สำหรับผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทั่วไป ลดความวิตกกังวลหรือความเครียด ทั้งนี้ต้องควบคู่ไปกับการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อหรือการติดเชื้ออื่นๆเพิ่มเติม งดรับประทานอาหารและยาที่เป็นอันตรายต่อตับ และที่สำคัญผู้ป่วยต้องเข้าพบแพทย์ตามเวลานัดอย่างสม่ำเสมอ