เชื้อ หูดหงอนไก่ รักษาเอง ได้หรือไม่?

เชื้อ หูดหงอนไก่ รักษาเอง ได้หรือไม่

เชื้อ หูดหงอนไก่ รักษาเอง ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าหูดที่พบนั้นเป็นหูดหงอนไก่จริงหรือไม่ และแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสม หูดหงอนไก่ หรือ Condyloma acuminata รู้จักกันทั่วไปว่า เป็นหูดบริเวณอวัยวะเพศ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส มีลักษณะเป็นตุ่มเนื้อหรือหูดขนาดเล็ก ที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก ลักษณะของตุ่มเนื้อเหล่านี้อาจแตกต่างกันไป ตั้งแต่ตุ่มเนื้อขนาดเล็ก แบนราบ หรือยกสูง ไปจนถึงกลุ่มตุ่มเนื้อขนาดใหญ่คล้ายดอกกะหล่ำ สาเหตุของโรคนี้ เกิดจากเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส หรือ HPV สายพันธุ์บางชนิด โดยเฉพาะ HPV-6 และ HPV-11 แต่อาจเกิดจาก HPV สายพันธุ์อื่นๆ ได้เช่นกัน

เนื้อหาที่น่าสนใจ ซ่อน

เชื้อ หูดหงอนไก่ ติดต่อผ่านช่องทางไหนบ้าง?

เชื้อ หูดหงอนไก่ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสทางผิวหนังโดยตรง โดยทั่วไปในระหว่างกิจกรรมทางเพศ การสอดใส่โดยไม่สวมถุงยางอนามัย บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ปาก และลำคอได้ แบ่งออกเป็น:

การมีเพศสัมพันธ์การสัมผัสเชื้อ
ทางช่องคลอดจากแม่สู่ลูกระหว่างคลอดบุตร
ทางทวารหนักใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
ทางช่องปากสัมผัสสารคัดหลั่งทางบาดแผล

ความเสี่ยงใดบ้างที่อาจทำให้ติด เชื้อ หูดหงอนไก่

  • ไม่เคยตรวจสุขภาพทางเพศมาก่อนในชีวิต
  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยกับคนที่มีเชื้อ
  • มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้ง อัตราในการรับเชื้อก็มีเพิ่มขึ้น
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ในกรณีผู้ติดเชื้อ HIV ที่เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน
เชื้อ หูดหงอนไก่ ติดต่อผ่านทางไหน

อาการของผู้ที่ติด เชื้อ หูดหงอนไก่ เป็นอย่างไร?

ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า เชื้อ หูดหงอนไก่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งเป็นกลุ่มไวรัสที่หลากหลาย โดยมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ที่รู้จัก อย่างไรก็ตาม หูดหงอนไก่ส่วนใหญ่เกิดจาก HPV ชนิดที่มีความเสี่ยงต่ำ คือ

  • HPV สายพันธุ์ที่ 6: เป็นสายพันธุ์ที่พบได้บ่อยที่สุด สายพันธุ์นี้มักทำให้เกิด หูดหงอนไก่อวัยวะเพศ หูดหงอนไก่ทวารหนัก หรือหูดหงอนไก่ที่ปาก นอกจากนี้ HPV-6 ยังอาจทำให้เกิดโรคอื่นๆ ได้ด้วยเช่น โรคมะเร็งช่องปาก โรคมะเร็งทวารหนัก และโรคมะเร็งปากมดลูก หนึ่งในโรคที่ผู้หญิงเป็นกันมากที่สุด HPV-6 ติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนังกับผิวหนังที่ติดเชื้อ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก นอกจากนี้ยังอาจติดต่อจากการสัมผัสกับผิวหนังที่ติดเชื้อบริเวณอื่น เช่น มือ หรือใบหน้า เป็นต้น
  • HPV สายพันธุ์ที่ 11: เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ โดยเชื้อไวรัสจะเข้าไปเจริญเติบโตที่ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นหนาขึ้นและเกิดเป็นก้อนเนื้ออ่อนๆ คล้ายดอกกะหล่ำหรือหงอนไก่ โรคนี้มักไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดหรือคัน แต่อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัวได้ บางคนอาจไม่มีอาการใดๆ เลย ในขณะที่บางคนอาจมีอาการคัน ระคายเคือง หรือมีเลือดออกบริเวณที่มีหูดหงอนไก่

สัญญาณและอาการทั่วไป

  • อาการหูด
    • อาการหลักอย่างหนึ่งของหูดหงอนไก่ คือการพัฒนาของหูดที่บริเวณอวัยวะเพศ หูดเหล่านี้มีขนาด รูปร่าง และลักษณะที่แตกต่างกันออกไป อาจเป็นกระจุกแบน ยกขึ้น หรือคล้ายดอกกะหล่ำ ในผู้ชาย มักเกิดที่องคชาต ถุงอัณฑะ หรือบริเวณทวารหนัก ในผู้หญิงอาจปรากฏที่ช่องคลอด ปากมดลูก ช่องคลอด หรือบริเวณทวารหนัก หูดหงอนไก่ เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในปากหรือลำคอ หากการติดเชื้อถูกส่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (Oral Sex)
  • อาการคันและไม่สบายตัว
    • ผู้ติดโรคหูดหงอนไก่ มักจะมีอาการคันและรู้สึกไม่สบายตัว บริเวณที่ได้รับผลกระทบของอวัยวะเพศหรือทวารหนัก การมีหูดสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองและรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งนำไปสู่การคันและบางครั้งอาจเจ็บปวดได้
  • เลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์
    • ในบางกรณีหูดที่อวัยวะเพศที่เกิดจากไวรัสเอชพีวี อาจทำให้มีเลือดออกระหว่างมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หูดที่มีการระคายเคือง หรือถูกเสียดสีระหว่างที่มีกิจกรรมทางเพศ

วิธีการวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่

การวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่สามารถทำได้โดยการตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจดูบริเวณอวัยวะเพศ หรือทวารหนักเพื่อหาหูดหงอนไก่ ลักษณะของหูดหงอนไก่ มักเป็นติ่งเนื้อสีชมพูหรือสีเนื้อ ผิวขรุขระเป็นหยักคล้ายหงอนไก่หรือดอกกะหล่ำ บางครั้งอาจมีเลือดออกหรือมีของเหลวไหลออกมาจากหูดหงอนไก่ นอกจากการตรวจร่างกายแล้ว แพทย์อาจใช้วิธีการตรวจอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น

วิธีการวินิจฉัย โรคหูดหงอนไก่

การตรวจ Pap Smear

การตรวจ Pap Smear หรือ Pap Test เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือสอดผ่านและถ่างช่องคลอดเบาๆ จากนั้นจะทำการเก็บเซลล์ตัวอย่างจากมดลูก ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติหรือเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งได้

การตรวจ Pap Smear เป็นหนึ่งในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การตรวจ Pap Smear สามารถทำได้ในผู้หญิงทุกวัยที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์แล้ว โดยทั่วไปแนะนำให้ตรวจ Pap Smear ทุกปีสำหรับผู้หญิงอายุ 21-65 ปี หากผลการตรวจเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี สามารถตรวจ Pap Smear ทุก 3 ปีได้ ยกเว้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก เช่น มีการติดเชื้อ HIV ติดเชื้อ HPV มีโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีมารดาที่ใช้ยา Diethylstilbestrol ขณะตั้งครรภ์ ต้องทำการตรวจ Pap Smear ทุกปี

ขั้นตอนการตรวจ Pap Smear

การตรวจ Pap Smear ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ขั้นตอนการตรวจมีดังนี้

  • แพทย์จะสวมถุงมือและสารหล่อลื่นเข้าไปในช่องคลอด
  • แพทย์จะสอดเครื่องมือสอดผ่านเข้าไปในช่องคลอดเพื่อถ่างปากมดลูก
  • แพทย์จะใช้ไม้ป้ายเซลล์หรือแปรงป้ายเซลล์ถูเบาๆ บริเวณปากมดลูกและช่องคลอด
  • แพทย์จะนำเซลล์ที่ป้ายได้ไปใส่ในถาดบรรจุเซลล์
  • เซลล์จะถูกส่งไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

ผลการตรวจ Pap Smear

ผลการตรวจ Pap Smear จะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้

  • Normal: ไม่พบเซลล์ที่ผิดปกติ
  • Atypical squamous cells of undetermined significance (ASCUS): พบเซลล์ที่ผิดปกติเล็กน้อย แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่
  • Low-grade squamous intraepithelial lesion (LSIL): พบเซลล์ที่ผิดปกติเล็กน้อย และมีโอกาสกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
  • High-grade squamous intraepithelial lesion (HSIL): พบเซลล์ที่ผิดปกติรุนแรง และมีโอกาสกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้

หากผลการตรวจ Pap Smear พบเซลล์ที่ผิดปกติ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจทางกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (Electron Microscopy) หรือการตรวจทางชีววิทยาโมเลกุล (Molecular Biology) เพื่อยืนยันผลการตรวจและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

ประโยชน์ของการตรวจ Pap Smear

การตรวจ Pap Smear มีประโยชน์หลายประการ ดังนี้

  • ช่วยตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติหรือเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งได้
  • ช่วยวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้
  • ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก
  • ข้อควรปฏิบัติก่อนและหลังการตรวจ Pap Smear

ก่อนการตรวจ Pap Smear ควรงดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง ไม่ควรใช้ยาเหน็บหรือยาสอดช่องคลอดภายใน 24 ชั่วโมงก่อนการตรวจ และไม่ควรสวนล้างช่องคลอดก่อนการตรวจ หลังการตรวจ Pap Smear อาจมีอาการตกขาวเล็กน้อยหรือมีเลือดออกเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง หากมีอาการตกขาวหรือมีเลือดออกมาก ควรไปพบแพทย์

การตรวจชิ้นเนื้อหูดหงอนไก่

หากการวินิจฉัยไม่ชัดเจน หรือจำเป็นต้องมีการยืนยันเพิ่มเติม อาจมีการตัดชิ้นเนื้อ ในระหว่างการตรวจชิ้นเนื้อ จะมีการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อขนาดเล็กจากหูดที่ต้องสงสัย และส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อทำการวิเคราะห์ การตรวจชิ้นเนื้อหูดหงอนไก่ เป็นวิธีวินิจฉัยขั้นสุดท้ายเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่ การตรวจชิ้นเนื้อทำได้โดยการตัดเอาเนื้อเยื่อจากหูดหงอนไก่ไปตรวจทางพยาธิวิทยา การตรวจชิ้นเนื้อหูดหงอนไก่มักทำในกรณีที่:

  • หูดหงอนไก่มีลักษณะที่ไม่จำเพาะต่อหูด เช่น มีสีเข้มผิดปกติ แข็ง ติดแน่นกับเนื้อเยื่อด้านล่าง ไม่ตอบสนองต่อการรักษาตามมาตรฐาน
  • สงสัยว่าหูดหงอนไก่อาจเป็นมะเร็ง
  • แพทย์ต้องการแยกหูดหงอนไก่ออกจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

ขั้นตอนการทำการตรวจชิ้นเนื้อหูดหงอนไก่

การตรวจชิ้นเนื้อหูดหงอนไก่สามารถทำได้โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ขั้นตอนการตรวจมีดังนี้

  • แพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณหูดหงอนไก่
  • แพทย์จะใช้มีดผ่าตัดหรือคีมตัดเอาเนื้อเยื่อจากหูดหงอนไก่
  • แพทย์จะเย็บแผลปิด

ผลการตรวจชิ้นเนื้อหูดหงอนไก่

ผลการตรวจชิ้นเนื้อหูดหงอนไก่จะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผลการตรวจชิ้นเนื้อจะระบุว่าหูดหงอนไก่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ใด และหากหูดหงอนไก่อาจเป็นมะเร็งหรือไม่ หากผลการตรวจชิ้นเนื้อหูดหงอนไก่พบว่าเกิดจากเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่ไม่เป็นมะเร็ง แพทย์อาจแนะนำให้ทำการรักษาหูดหงอนไก่ต่อไป หากผลการตรวจชิ้นเนื้อหูดหงอนไก่พบว่าเกิดจากเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่อาจเป็นมะเร็ง แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจด้วยรังสีเอกซ์หรือการตรวจด้วยเครื่อง MRI เพื่อประเมินความรุนแรงของมะเร็ง

ข้อควรปฏิบัติหลังการตรวจชิ้นเนื้อหูดหงอนไก่

หลังการตรวจชิ้นเนื้อหูดหงอนไก่ อาจมีอาการตกขาวเล็กน้อยหรือมีเลือดออกเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง หากมีอาการตกขาวหรือมีเลือดออกมาก ควรไปพบแพทย์

การตรวจ HPV DNA

การตรวจ HPV DNA

การตรวจ HPV DNA เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัส Human Papilloma Virus (HPV) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งปากมดลูก การตรวจ HPV DNA สามารถทำได้โดยใช้ตัวอย่างเซลล์จากปากมดลูกหรือช่องคลอดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจ HPV DNA มี 2 วิธี ได้แก่

  • ThinPrep Pap Test: เป็นการตรวจ Pap Smear แบบดั้งเดิม โดยแพทย์จะใช้ไม้ป้ายเซลล์หรือแปรงป้ายเซลล์ถูเบาๆ บริเวณปากมดลูกและช่องคลอด จากนั้นจะนำเซลล์ที่ป้ายได้ไปใส่ในถาดบรรจุเซลล์และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  • Liquid-based Pap Test: เป็นการตรวจ Pap Smear แบบใหม่ โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือดูดเซลล์จากปากมดลูกและช่องคลอด จากนั้นจะนำเซลล์ที่ดูดได้ไปใส่ในภาชนะที่มีของเหลวและส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ

การตรวจ HPV DNA มีข้อดีหลายประการ ดังนี้

  • มีความไวและแม่นยำสูงในการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก
  • สามารถตรวจหาเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ได้
  • สามารถใช้ร่วมกับการตรวจ Pap Smear เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก
  • การตรวจ HPV DNA แนะนำให้ทำในผู้หญิงทุกวัยที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์แล้ว โดยทั่วไปแนะนำให้ตรวจ HPV DNA ทุก 5 ปี ยกเว้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงของมะเร็งปากมดลูก เช่น มีการติดเชื้อ HIV ติดเชื้อ HPV มีโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีมารดาที่ใช้ยา Diethylstilbestrol ขณะตั้งครรภ์ ต้องทำการตรวจ HPV DNA ทุกปี

ผลการตรวจ HPV DNA

  • Negative: ไม่พบเชื้อไวรัส HPV
  • Positive: พบเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก

ข้อควรปฏิบัติก่อนและหลังการตรวจ HPV DNA

ก่อนการตรวจ HPV DNA ควรงดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง ไม่ควรใช้ยาเหน็บหรือยาสอดช่องคลอดภายใน 24 ชั่วโมงก่อนการตรวจ และไม่ควรสวนล้างช่องคลอดก่อนการตรวจ หลังการตรวจ HPV DNA อาจมีอาการตกขาวเล็กน้อยหรือมีเลือดออกเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง หากมีอาการตกขาวหรือมีเลือดออกมาก ควรไปพบแพทย์

เชื้อ หูดหงอนไก่ มีวิธีรักษาอย่างไร?

การใช้ ยารักษาหูดหงอนไก่ อาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน หลายคนจึงมีความคิดว่า หูดหงอนไก่รักษาเอง จะดีกว่าหรือไม่? เราแนะนำว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นมีอยู่หลายชนิด การไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องจะทำให้คุณหายจากโรคได้ไว้ยิ่งขึ้น และไม่ต้องกังวัลว่าจะกลับมาเป็นซ้ำใหม่ได้ง่ายๆ เนื่องจากได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้จากเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว การรักษาหูดหงอนไก่ มีดังนี้

  • การใช้ ยาทาหูดหงอนไก่ ซึ่งมีหลายชนิดต้องให้แพทย์เป็นผู้ทาให้ ได้แก่
    • อิมิควิโมด (Imiquimod) เป็นยาในกลุ่มยาเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้นเพื่อยับยั้งการเติบโตของผิวบริเวณที่ผิดปกติ ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังหลายชนิด ทาบริเวณที่เป็นหูดหรือแผลหนา วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 3 วัน หยุด 4 วัน แล้วทำซ้ำ การรักษาอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนจึงจะเห็นผล
    • โพโดฟิลอก (Podofilox) เป็นสารสีเหลืองน้ำตาลลักษณะเหนียวทำให้เซลล์ตายโดยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ยานี้อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง เป็นแผล และปวดหากเข้าสู่กระแสเลือดอาจทำให้เส้นประสาทอักเสบ ชาตามตัว เม็ดเลือดขาวต่ำ และ เกล็ดเลือดต่ำ
    • สารละลายกรดไตรคลอโรอะเซติก (Trichloroacetic Acid) ออกฤทธิ์โดยทำให้โปรตีนในเซลล์เสื่อมสภาพเป็นเซลล์ตายหูดที่มีก้านมักหลุดออกไปภายใน 2-3 วันทำให้เกิดผิวหนังระคายเคือง เป็นแผลเลือดออกได้
  • ยารักษาหูดหงอนไก่ ชนิดรับประทาน เช่น ซิมวอริน (Cimetidine)
  • การผ่าตัด เช่น การจี้ด้วยไฟฟ้า การจี้เย็นด้วยไนโตรเจนเหลว การตัดออกด้วยเลเซอร์
  • การรักษาด้วยแสง เช่น การฉายแสงเลเซอร์ การฉายแสงอัลตราไวโอเลต
วิธีป้องกันการติด เชื้อ หูดหงอนไก่

วิธีป้องกันหูดหงอนไก่

วิธีป้องกันหูดหงอนไก่ที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีน HPV ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ได้ถึง 9 สายพันธุ์ รวมถึงสายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ วัคซีน HPV สามารถฉีดได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย โดยสามารถฉีดได้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 9-45 ปี นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว ยังมีวิธีป้องกันหูดหงอนไก่อื่นๆ ดังนี้

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อ HPV เข้าสู่ร่างกายได้ แต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100% เนื่องจากเชื้อ HPV สามารถแพร่กระจายได้บริเวณที่อวัยวะเพศที่ไม่ได้ปกคลุมด้วยถุงยางอนามัย
  • มีคู่นอนคนเดียวหรือมีให้น้อยที่สุด การมีคู่นอนหลายคนหรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ เพิ่มความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อ HPV
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบริเวณที่มีหูดหงอนไก่ หูดหงอนไก่สามารถติดต่อกันได้จากการสัมผัสโดยตรงกับรอยโรคหรือสารคัดหลั่งจากรอยโรค
  • ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถช่วยตรวจหาการติดเชื้อ HPV ได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • หูดหงอนไก่สามารถหายได้เองภายใน 1 ปี แต่อาจกลับมาเป็นซ้ำได้ ดังนั้นจึงควรป้องกันหูดหงอนไก่ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเพิ่มเติมในการป้องกันการแพร่กระจายของหูดหงอนไก่

  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำทุกครั้งหลังใช้ห้องน้ำหรือเปลี่ยนผ้าอนามัย
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่อวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว กางเกงใน สบู่ แปรงสีฟัน มีดโกน ฯลฯ

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เชื้อ หูดหงอนไก่

สรุปโดยย่อ หูดหงอนไก่ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย เกิดจากเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์บางชนิด โรคนี้มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้หากไม่ใช้ ยารักษาหูดหงอนไก่ ดังนั้น การตระหนักถึงสาเหตุ อาการ การรักษาที่มีอยู่ และกลยุทธ์การป้องกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งบุคคลและสังคมโดยรวม ที่เราจะสามารถปกป้องสุขภาพทางเพศของเราและลดอัตราการเกิดโรคนี้ได้ ด้วยการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย การฉีดวัคซีน และเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากคุณสงสัยว่าคุณเป็น หูด หงอนไก่ รักษาเอง ได้ไม่ยาก โปรดอย่าลังเลที่จะขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเฉพาะทางเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ทันทีครับ

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อทำให้คุณพบกับความแตกต่างจากผู้ใช้อื่น ๆ ของเว็บไซต์ของเรา Cookies policy ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์ ที่ดีเมื่อคุณติดตามเนื้อหาในเว็บไซต์ของเราและยังช่วยให้เราในการปรับปรุงเว็บไซต์ของเราอย่างต่อเนื่อง เมื่อคุณใช้งานเว็บไซต์ของเรา ถือว่าคุณได้ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ Cookie settings

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว บันทึกการตั้งค่า