โรค ซิฟิลิส กับคำถามที่น่ารู้

โรค ซิฟิลิส กับคำถามที่น่ารู้

โรค ซิฟิลิส ถูกออกมาเตือนให้ระมัดระวังจากแพทย์และสื่อต่าง ๆ ในช่วงระยะนี้ โดยที่ซิฟิลิสถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง และเกิดการระบาดอย่างแพร่หลายมากขึ้น เพราะเป็นหนึ่งในโรคที่ติดต่อได้ง่าย ไม่แพ้ไปกว่าเชื้อไวรัสเอชไอวีเลยทีเดียว ยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงบ่อยครั้ง และไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกันโรค วันนี้เรามาทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรคซิฟิลิส นี้กันดีกว่า

เนื้อหาที่น่าสนใจ ซ่อน

ซิฟิลิส คืออะไร

ซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เชื้อชนิดนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์มากที่สุด เมื่อได้รับเชื้อสู่ร่างการแล้วจะกระจายไปตามกระแสโลหิต นอกจากนี้แล้วยังอาศัยอยู่ในร่างการของมนุษย์ได้เกือบทุกส่วนในร่างกาย แต่ว่าหากเราตรวจพบเจอตั่งแต่เนิน ๆ ก็สามารถที่จะรักษาได้หาดขาด

สาเหตุของ โรค ซิฟิลิส

สาเหตุของ โรค ซิฟิลิส

ซิฟิลิส มาจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า ทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum) และถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้การใช้เข็มฉีดยารวมกับผู้อื่น การรับเลือดจากผู้อื่น นอกจากนี้เชื้ออาจมีอยู่ตามธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ เช่น เชื้อจากคนที่เป็นโรคแพร่ลงในแหล่งน้ำ ห้องน้ำสาธารณะ สระว่ายน้ำ ฯลฯ จากนั้น เชื้อจะเข้าสู่เยื่อเมือกหรือบาดแผลตามร่างกาย เช่น ช่องปาก เยื่อบุตา ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก เป็นต้น แค่นี้ยังไม่พอเชื้อดังกล่าวยังสามารถอยู่รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อสามารถส่งผ่านเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้เช่นกัน

อาการโรคซิฟิลิส

อาการของโรคซิฟิลิสมีทั้งหมด 4 ระยะด้วยกัน คือ ระยะที่1 Primary stage , ระยะที่ 2 Secondary stage , ระยะแฝง Latent stage และระยะที่ 3 Tertiary stage

โรค ซิฟิลิส ระยะที่หนึ่ง :

อาการระยะแรกของผู้ติดเชื้อซิฟิลิส โดยผู้ป่วยจะมีแผลเล็กลักษณะแข็ง สีแดง ทางการแพทย์เรียกว่า “แผลริมแข็ง” (Chancre) ขึ้นบริเวณช่องคลอด อวัยวะเพศ ใต้หนังหุ้มปลายองคชาต ทวารหนัก หรือปาก ผู้ป่วยบางรายอาจมีแผลเพียงจุดเดียวหรือหลายจุดก็ได้ โดยที่แผลดังกล่าวจะไม่มีอาการเจ็บปวด มักจะแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อซิฟิลิสเข้าสู่ร่างกายประมาณ 10 วัน – 3 เดือน หรือในบางรายอาจแสดงอาการเร็วกว่าเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น และหลังจากนั้นอาการต่างๆเหล่านี้จะหายได้เองภายใน 3-6 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตามเชื้อซิฟิลิสยังคงกระจายตัวอยู่ร่างกายของผู้ป่วย

โรคซิฟิลิสระยะที่สอง :

อาการที่เกิดขึ้นหลังจากแผลริมแข็งหายไปประมาณ 1-3 เดือน โดยที่ผู้ป่วยจะมีผื่น ตุ่มนูน ลักษณะคล้ายหูด ขึ้นบริเวณลำตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอวัยวะเพศ หรือผู้ป่วยบางรายอาจมีผื่นขึ้นบริเวณอื่นๆตามร่างกาย ซึ่งผื่นนี้จะไม่มีอาการคัน แต่จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ มีไข้ มีอาการเจ็บคอ อ่อนเพลีย ผมร่วง หรือต่อมน้ำเหลืองบวมผิดปกติ อาการเหล่านี้จะหายไปเองหรือกลับมาเป็นซ้ำได้อีกครั้ง

  • มีอาการไข้
  • เจ็บคอ
  • ต่อมน้ำเหลืองโต
  • บางคนมีอาการปวดกล้ามเนื้อ​

โรคซิฟิลิสระยะแฝง หรือ ระยะสงบ :

โรคซิฟิลิสระยะนี้ต่อเนื่องมาจากผู้ป่วยกว่า 30% ที่ไม่ได้รับการรักษาในระยะที่ 2 อย่างถูกต้องและเหมาะสม จนส่งผลให้เกิดเป็นระยะแฝงในที่สุด และโรคอาจดำเนินเข้าสู่ระยะที่ 3 ได้ง่ายมากขึ้น โดยระยะแฝงนี้จะยังคงมีเชื้อซิฟิลิสอยู่ภายในร่างกายเป็นระยะเวลานานหลายปี โดยจะไม่มีอาการแสดงอย่างชัดเจนแต่อย่างใด

โรค ซิฟิลิส ระยะที่สาม :

ระยะนี้เป็นระยะสุดท้ายของผู้ป่วยโรคซิฟิลิส เกิดจากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที มีมักจะแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อ 10-20 ปี ทำให้เชื้อลุกลามไปทั่วร่างกายจนส่งผลให้ร่างกายถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งระยะนี้จะแสดงอาการอย่างชัดเจน เช่น สมองเสื่อม ตาบอด อัมพาต หูหนวก โรคหัวใจ ไร้สมรรถภาพทางเพศ และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด

การรักษาซิฟิลิส

ในปัจจุบันรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) เป็นหลัก สำหรับประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นการรักษาด้วยยากลุ่มเพนิซิลลิน จี (Penicillin G) ที่แบ่งย่อยได้อีกหลายชนิด เช่น

  • ยาเบนซาธีน เพนิซิลลิน จี (Benzathine Penicillin G)
  • ยาเอเควียส เพนิซิลลิน จี (Aqueous Penicillin G)

ซึ่งแพทย์จะฉีดให้ผู้ป่วย โดยดูจากระยะเวลาในการป่วยว่าเป็นมานานเท่าใด และใช้ดุลพินิจในการรักษาในแต่ละคน

การป้องกัน โรค ซิฟิลิส

การป้องกัน โรค ซิฟิลิส

การป้องกันการติดซิฟิลิส จึงต้องหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อซิฟิลิส และควรสวมถุงยางอนามัยเพื่อการป้องกันทุกครั้ง ส่วนคู่รักที่วางแผนแต่งงาน ควรตรวจร่างกายโดยละเอียดและตรวจหาเชื้อซิฟิลิสด้วยก่อนการแต่งงานและวางแผนตั้งครรภ์ เพราะหากพบว่าติดเชื้อก็จะได้วางแผนรักษาให้หายขาดดีกว่าจะเกิดปัญหาสุขภาพ ด้วยการแพร่กระจายเชื้อให้อีกฝ่ายและส่งผ่านเชื้อให้ทารกในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้ทารกพิการและเสียชีวิตในเวลาต่อไป

คำถามที่ควรต้องรู้เกี่ยวกับโรคซิฟิลิส

ซิฟิลิสเป็นเชื้อประเภทไหน เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร?

ตอบ ☛ ซิฟิลิส เป็นเชื้อแบคทีเรียประเภทหนึ่ง ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล บนผิวหนัง หรือเยื่อบุต่าง ๆ

มีอะไรกันแค่ภายนอก มีสิทธิติด โรค ซิฟิลิส ไหม?

ตอบ ☛ หลายคนคิดว่าถ้าไม่มีการสอดใส่ ก็ไม่ติดโรคซิฟิลิส แต่หากมีกิจกรรมภายนอก เช่น การทำรักทางปาก (ออรัลเซ็กส์) หรือใช้ลิ้นเลียบริเวณอวัยวะเพศ แล้วไปสัมผัสกับเชื้อซิฟิลิสโดยตรง บริเวณช่องปาก ลิ้น ช่องคลอด ทวารหนัก ฯลฯ ก็สามารถติดเชื้อซิฟิลิสได้

ถ้าติดซิฟิลิสแล้วจะมีอาการอย่างไร?

ตอบ ☛ ไม่ใช่ทุกคนที่แสดงอาการของโรคซิฟิลิสทันที ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ความแข็งแรงและโอกาสเสี่ยงที่มีบ่อยหรือไม่ เพราะเมื่อคนเราได้รับเชื้อไปแล้ว อาจอยู่ในระยะแฝงตัวได้นานหลายปี ทางที่ดีเมื่อรู้ว่าเสี่ยงให้รีบตรวจและรีบรักษา

ผื่นซิฟิลิส มีลักษณะอย่างไร ?

ตอบ ☛ ก่อนจะเกิดผื่นซิฟิลิสขึ้น จะต้องมีแผลริมแข็งเสียก่อน แผลชนิดนี้จะมีขอบนูน แข็ง กดแล้วไม่เจ็บ ไม่ปวดอะไร ส่วนใหญ่จะพบได้มากที่อวัยวะเพศทั้งผู้ชายและผู้หญิง หรือริมฝีปาก อาจสังเกตได้จากหลังวันที่มีความเสี่ยงที่ไม่ได้ป้องกันตั้งแต่สัปดาห์กว่าๆ ขึ้นไปจนถึงประมาณ 3 เดือน และแผลริมแข็งนี้ก็สามารถหายได้เองแม้ไม่ได้รักษาด้วย หลังจากนั้นประมาณเดือนครึ่งถึงสอง เดือนอาจมีผื่นขึ้นตามลำตัว มือ เท้า หรือตามร่างกายต่างๆ ร่วมกับมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเนื้อเมื่อยตัว แต่อาการเหล่านี้ก็สามารถหายไปได้เองภายในระยะเวลา 1 – 3 เดือน

ติดซิฟิลิสแล้ว ถ้ารักษาจะหายขาดไหม กลับมาเป็นซ้ำได้หรือเปล่า ?

ตอบ ☛ หากรู้ตัวว่ามีความเสี่ยงโรคซิฟิลิส และตรวจเจอตั้งแต่แรก มีโอกาสที่จะรักษาให้หายขาดได้ แต่หากอยู่ระยะที่เชื้อแฝงตัวนานแล้วก็ต้องให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาไปตามระยะของโรคอาจใช้เวลานานกว่าเคสทั่วไป ทั้งนี้ผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสจะต้องทานยาอย่างเคร่งครัดและไปตามนัดหมอทุกครั้ง เพราะถึงแม้จะหายจากโรคซิฟิลิสแล้ว แต่ยังแนะนำให้ตรวจซ้ำทุกๆ 3 เดือนภายในระยะเวลา 3 – 5 ปีหลังจากทำการรักษา เพราะอาจจะมีเชื้อแฝงตัวเหลือรอดอยู่ หรือไม่เสี่ยงเพิ่ม

เป็นซิฟิลิสแล้ว ทำให้เป็นโรคเอดส์ใช่หรือไม่ ?

ตอบ ☛ ซิฟิลิสกับเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นคนละโรคกัน แต่หากคุณเป็นโรคซิฟิลิสอยู่แล้วก็เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีได้มากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า และคนที่ติดเชื้อเอชไอวีหากดูแลตัวเองได้ดี รับประทานยาต้านไวรัสอย่างเคร่งครัด ป้องกันตนเองก็ไม่สามารถติดโรคซิฟิลิสได้

ใครบ้างที่ควรตรวจ โรค ซิฟิลิส ?

ตอบ ☛ กลุ่มเสี่ยงในคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ไม่ใส่ถุงยางอนามัย ไม่ได้ป้องกันตัวเอง กลุ่มคนที่คิดว่าคู่นอนของตัวเองมีความเสี่ยงต่อโรคซิฟิลิส กลุ่มคุณพ่อคุณแม่ที่วางแผนจะมีบุตร

ทำอย่างไรถึงจะไม่ติดเชื้อซิฟิลิส ?

ตอบ ☛ ป้องกันตนเองด้วยการใช้ ถุงยางอนามัย ให้ทุกกิจกรรมทางเพศ หัดสังเกตุคู่นอนของตนเองหรือมีเพศสัมพันธ์กับแฟนของตัวเองที่มั่นใจว่าปลอดเชื้อ ไม่ใช้บริการทางเพศหรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย

สถานที่ตรวจโรคซิฟิลิส https://love2test.org/th

โรคซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อันตราย หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดโรคซิฟิลิส คือ การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อทำให้คุณพบกับความแตกต่างจากผู้ใช้อื่น ๆ ของเว็บไซต์ของเรา Cookies policy ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์ ที่ดีเมื่อคุณติดตามเนื้อหาในเว็บไซต์ของเราและยังช่วยให้เราในการปรับปรุงเว็บไซต์ของเราอย่างต่อเนื่อง เมื่อคุณใช้งานเว็บไซต์ของเรา ถือว่าคุณได้ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ Cookie settings

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว บันทึกการตั้งค่า